รายได้เท่าเดิม หนี้เท่าเดิม แต่ไม่มีเงินเก็บ เงินลงทุน ทำอย่างไรได้บ้าง ?
ทุกวันนี้หลายคนบอกว่า มีรายได้เข้ามา แต่ก็ต้องจ่ายออกหมด ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนสินค้าต่าง ๆ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือมีคนที่ต้องดูแล แถบไม่เหลือเงินเก็บ หรือเงินลงทุนต่อยอดอะไรเลย แบบนี้ควรจะมีวิธีการจัดการเงินอย่างไรดี ?
ก่อนอื่นต้องบอกว่าให้แจกแจงการเงินของตัวเอง ณ ตอนนี้ออกมาก่อน เช่น
1. ทำ "แผนใช้เงิน" เพื่อจัดสรรเงินที่มี
เมื่อรายได้เข้ามา เราก็ต้องจัดสรรเงินให้พอใช้ โดยการทำ “แผนใช้เงิน” อาจจะต้องเขียนหรือทำบันทึกออกมาอย่างจริงจัง เพื่อให้รู้ว่า จริง ๆ แล้วมีรายรับและรายจ่ายมากแค่ไหน ซึ่งแผนการใช้เงินที่ดีจะต้องมีรายรับมากกว่าหรือเท่ากับรายจ่าย และแบ่งรายจ่ายออกเป็นส่วน ๆ อย่างชัดเจน
เมื่อเราทำแผนใช้เงินออกมาแล้ว เราก็ต้องใช้จ่ายตามที่กำหนดไว้ หากใช้ส่วนไหนเกิน ก็ให้ลดรายจ่ายส่วนอื่น เพื่อไม่ให้รายจ่ายมากเกินรายรับ ถ้ามีเวลา ก็ลองทำแผนใช้เงินล่วงหน้าสัก 3 เดือนเพื่อรองรับเหตุการณ์ในอนาคต
2. ปรับตัวและตัดใจจากสิ่งที่ไม่จำเป็น
พอเราทำแผนใช้เงินแล้วพบว่า รายจ่ายมากกว่ารายรับ ก็ถึงเวลาที่ต้องตัดใจ แต่รายจ่ายของเรามีมากมาย ควรจะตัดใจจากรายจ่ายไหนดี จะให้ตัดทั้งหมดก็คงไม่ไหว เลือกที่คิดว่าเมื่อตัพออกแล้ว เรายังสามารถที่ทำงานใช้ชีวิตอยู่ได้
3. จัดการภาระหนี้
ถึงแม้รายได้จะลดลง แต่หนี้ก็ยังคงต้องจ่าย ถ้าทำแผนใช้เงินแล้วมีเงินพอจ่าย ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเจอว่าเงินไม่พอจ่ายหนี้ ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
3.1 จดรายการหนี้ทั้งหมดที่มี โดยใช้ตารางภาระหนี้เพื่อให้รู้ว่า เรามีหนี้อะไรบ้าง อัตราดอกเบี้ยเท่าไหร่ กำหนดจ่ายเมื่อไหร่
3.2 เช็กรายการหนี้ทั้งหมดว่า สามารถทำอย่างไรได้บ้างเพื่อในภาระหนี้ลดลง ผ่อนชำระได้สบายกว่าเดิม
อย่างเช่น การผ่อนบ้าน ให้เช็กว่าเมื่อผ่อนชำระพ้น 3 ปีแล้ว อัตราดอกเบี้ยเงินกู้บ้านจะเปลี่ยนเป็นสูงขึ้น หรือเป็นแบบลอยตัว ทำให้เราต้องจ่ายดอกเบี้ยที่แพงขึ้น เงินที่ผ่อนไปก็นำไปจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น เงินต้นแทบไม่ลด แบบนี้ ควรที่จะดูเรื่องของการ Refinance และ Retention เพื่อช่วยลดภาระหนี้สินที่มีอยู่
ข้อดี ข้อเสีย ของการ Refinance และ Retention มีข้อดี ข้อเสียอย่างไรบ้าง ?
รีไฟแนนซ์ คือการขอยื่นกู้บ้านหรือคอนโดกับธนาคารใหม่ ที่ให้เงื่อนไขในการผ่อนชำระที่ดีกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้เราสามารถผ่อนหมดและกลายเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น หรืออาจจะเป็นการผ่อนชำระต่อเดือนลดลง ทำให้เราผ่อนสบายขึ้น ข้อดีของการ รีไฟแนนซ์ มีดังนี้
1. ได้รับโปรโมชันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใหม่ที่ถูกกว่าเดิม
2. เป็นตัวช่วยให้เราปิดบ้านได้เร็วขึ้น เพราะดอกเบี้ยที่ถูกลง ทำให้ค่างวดที่จ่ายไปตัดเงินต้นได้มากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการที่ไม่รีไฟแนนซ์
3. ลดภาระค่างวด ทำให้จำนวนเงินที่ต้องผ่อนต่อเดือนลดลง และมีเงินเหลือไปใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ได้มากขึ้น
4. มีโอกาสในเปรียบเทียบดอกเบี้ยจากหลายๆ ธนาคาร เพื่อเลือกข้อเสนอที่คุ้มค่ามากที่สุด
5. บางกรณีอาจขอวงเงินกู้เพิ่ม และ ได้รับโปรโมชันดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม การรีไฟแนนซ์บ้าน ก็เหมือนการทำสินเชื่อใหม่ ดังนั้น เราจะต้องเตรียมเอกสารเพื่อขอยื่นกู้ใหม่ มีค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมสำรองไว้ เช่น ค่าจดจำนอง ค่าอากรแสตมป์ ค่าประกันอัคคีภัย ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์ และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ รวมถึงระยะเวลาในการพิจารณาดำเนินการและอนุมัติสินเชื่อก็จะนานกว่าการรีเทนชั่น
รีเทนชั่น คือ การขอยื่นเรื่องขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับธนาคารเดิมที่เรากำลังผ่อนบ้านอยู่ เพื่อให้ธนาคารพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยใหม่ให้ต่ำลง ข้อดีของการ รีเทนชั่น มีดังนี้
1. ไม่ต้องเสียเวลายื่นเอกสารกู้ใหม่ เพียงแค่แจ้งกับธนาคารเดิมว่าต้องการขอปรับลดดอกเบี้ยบ้าน โดยอาจจะเข้าไปติดต่อที่สาขาหรือ Call Center ก็ได้
2. การอนุมัติและรอทราบผลทำได้เร็ว
3. ไม่ต้องประเมินราคาหลักทรัพย์ใหม่ ไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
เลือกรีไฟแนนซ์บ้าน-คอนโด มาอยู่กับทีทีบี ทางลัดสำหรับคนที่อยากปิดหนี้บ้านให้เร็วขึ้นตัวช่วยให้คุณผ่อนสบาย แถมยังช่วยลดภาระและปิดหนี้สินเชื่ออื่น ๆ ได้
- ด้วยดอกเบี้ยคงที่ ปีแรก 2.79% ต่อปี
- หรือสามารถเลือกเป็น ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก 3.39%ต่อปี และยังสามารถขอวงเงินกู้เพิ่มที่ได้ดอกเบี้ยพิเศษคงที่ 3 ปีแรก 5.45% ต่อปี
- วงเงินอนุมัติสูงสุด 50 ล้านบาท
- เลือกผ่อนได้นานสูงสุด 35 ปี
กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว ดอกเบี้ยทั้งสัญญา 4.93% - 5.36% ต่อปี เงื่อนไขตามที่ธนาคารกำหนด
สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ทีทีบีทุกสาขา หรือเว็บไซต์ www.ttbbank.com