ข่าวในหมวด ข่าว 7 สี

ร้อยเวร สุดแสบนัดเกลี่ยหนี้แต่ฮุบเงินเงียบ

เจาะประเด็นข่าว 7HD - อีกเรื่องที่มีผู้เสียหายไปร้องขอความช่วยเหลือกับเพจสายไหมต้องรอด เรื่องนี้คือเขาบอกว่าถูกตำรวจ ฮุบเงินไกล่เกลี่ยหนี้ไปใช้ โดยอ้างว่ายังไม่ว่างเอามาคืน มีผู้เสียหายถูกคู่กรณีจ่ายเช็คเด้งเลยเข้าแจ้งความ ตำรวจเรียก 2 ฝ่ายมาไกล่เกลี่ย ตำรวจเสนอเป็นตัวกลางรับเงินก่อนส่งต่อ ไป ๆ มา ๆ ฮุบเงินหายเงียบ

ผู้เสียหาย เล่าว่า ตนเองทำเป็นคดีซ้อนคดี เมื่อร้อยเวรเจ้าของคดี ตำแหน่งรองสารวัตรสอบสวน สภ.สำโรงใต้ ถูกเจ้าของธุรกิจโรงกลึงที่ อำเภอแพรกกระสา จังหวัดสมุทรปราการ โดยเมื่อผู้เสียหายเข้าร้องเพจฯ ดัง บอกว่าปี 2564 มีถูกลูกค้าคนหนึ่งจ่ายเช็คเด้ง มูลค่ากว่า 600,000 บาท จึงไปแจ้งความไว้ที่ สภ.สำโรงใต้ โดยมีตำรวจนายหนึ่ง ยศร้อยตำรวจเอก ตำแหน่งรองสารวัตรสอบสวนเป็นเจ้าของคดี

ต่อมาตำรวจนายนี้ก็เรียกทั้งสองฝ่ายตนเองและคู่กรณีมาเจรจาไกล่เกลี่ย จนโดยลูกหนี้ยอมชดใช้เงินคืนให้เต็มจำนวน และทำบันทึกข้อตกลง โดยว่า ทุกครั้งที่ลูกหนี้นำเงินมาคืนจะมาให้กับรองสารวัตรคนนี้และจะเรียกให้ตนมารับ ครั้งแรกคือเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2566 ซึ่งทุกครั้งตนจะให้นำเงินมาให้ตำรวจ แล้วจึงส่งเงินต่อให้ผู้เสียหาย โดยสารวัตรนายนี้ได้ค่าเสียเวลา ร้อยละ 10% ของยอดเงินที่คืน โดยที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร นำมาคืนทุกครั้ง

กระทั่งเดือนกรกฎาคม ลูกหนี้ชดใช้ำระเงินคืนมาเกือบ 300,000 บาทแล้ว จนกระทั่งเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เริ่มติดต่อตำรวจนายนี้ได้ยาก พอจึงไปถามลูกหนี้ก็ทำให้ตกใจ เพราะลูกหนี้ยิ่งตกใจหนัก เพราะบอกว่าเอาส่งเงินมาฝากไว้กับผู้กองแล้ว ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม จำนวน 20,000 บาท และเมื่อวันที่ 6 กันยายน จำนวน 10,000 บาท ตนจึงพยายามสอบถามผู้กอง จนผู้กอง 20,000 บาท มาให้ตำรวจแล้วก่อนหน้านี้ (22 ก.ค.)

ผู้เสียหายจึงสอบถามตำรวจเจ้าของคดี ยอมรับว่าเงิน 30,000 บาท อยู่ที่ตนเองจริง 30,000 บาท โดยนัดหมายว่าจะเอามาให้ และนัดหมายนำเงินมาคืนสิ้นเดือนกันยายน แต่จนถึงตอวันนี้ (6 ต.ค.) ก็ยังไม่ได้เงิน ส่วนผู้กองคนนั้น และตำรวจนายนี้ก็ติดต่อไม่ได้แล้ว ทำให้เธอกังวลว่าจะไม่ได้เงินคืน และทำให้ลูกหนี้ใช้เป็นข้ออ้างในการเบี้ยวไม่จ่ายหนี้ที่เหลือจนหมดอายุความ

ขณะที่ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ ตรวจสอบเรื่องนี้ในเชิงลึก หากพบว่ากระทำผิดจริงตามที่ถูกกล่าวหา จะต้องพิจารณาทั้งทางวินัยร้ายแรงและทางอาญา โดยไม่มีการช่วยเหลือใด ๆ ทั้งสิ้น

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark