ข่าวในหมวด ข่าวออนไลน์ News

ส่งตัว 30 ผู้ต้องหา พร้อมสำนวนคดี เป้รักผู้การ ให้อัยการนัด ฟังคำสั่ง 26 ก.ย.นี้


วัชรินทร์ พร้อมทีมสอบสวน ส่งตัว 30 ผู้ต้องหา พร้อมสำนวนคดี “เป้รักผู้การ” 2 หมื่นหน้า ให้อัยการ นัดฟังคำสั่ง 26 ก.ย.นี้ ลั่นทำคดีตรงไปตรงมาละเอียดรอบคอบ

วันนี้ (28 ส.ค.67) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน หัวหน้าชุดคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน ในคดีที่เจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียกรับทรัพย์จากเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ 140 ล้านบาท พร้อมคณะทำงานสอบสวนนำสำนวน และเอกสารพยานหลักฐาน  55 แฟ้ม จำนวนมากกว่า 20,658 หน้า พร้อมความเห็นทางคดีมาส่งให้อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต เพื่อพิจารณาสั่งคดี

โดยวันนี้ ผู้ต้องหาทุกคนเดินทางมาตามนัดส่งตัว ซึ่งภายหลังรับตัวผู้ต้องหาพร้อมสำนวน นายวัชรินทร์ พร้อมด้วย นายสุรพันธ์ กิจพ่อค้า อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต,นายรชต พนมวัน อัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 และ พ.ต.อ.เอกราช อุ่นเจริญ รอง ผบก.จังหวัดอยุธยา ร่วมเเถลงข่าว

นายวัชรินทร์ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ที่ ผบ.ตร.ในขณะนั้น ทําหนังสือแจ้งมาทางอัยการสูงสุดมอบหมายให้ตนเข้าไปเป็นหัวหน้าคณะในการตรวจสอบกํากับการสอบสวน และตั้งทีมอัยการเข้าร่วมตรวจสอบ 10 คน นอกจากนี้ ผบ.ตร.ยังตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนขึ้นใหม่เกือบร้อยคน มีพล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นผู้รับผิดชอบในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนของตํารวจ ใช้ระยะเวลาสืบสวนสอบสวนคดีนี้ 1 ปีเศษก่อนสรุปสํานวน เนื่องจากคดีมีเอกสารจำนวนมาก และต้องให้โอกาสผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งผู้ต้องหาก็ร้องขอความเป็นธรรมทั้งหมด คณะทำงานก็ได้สอบสวนพยานหลักฐานตามที่ผู้ต้องหาอ้างทั้งหมด  จนกระทั่งสรุปสํานวน

เรามีความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา  31 ราย แยกเป็นตํารวจ 19 ราย พลเรือน 12 ราย เเละสั่งไม่ฟ้อง 3 ราย เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 ได้กระทําความผิด ส่วนผู้ต้องหาที่ถูกสั่งฟ้องขณะนี้มีตัว 30 ราย และมีผู้ต้องหาหลบหนี 1 ราย คือ นายพิสิษฐ์ หรือต้น ซึ่งได้ดำเนินการขอศาลออกหมายจับเเล้ว นัดฟังคําสั่งวันที่ 26 ก.ย.นี้ เวลา 10.00 น. หากพนักงานอัยการคดีปราบทุจริตฯ สั่งฟ้องก็จะต้องนําตัวไปฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

สำหรับข้อหาที่กลุ่มผู้ต้องหาชุดของตํารวจชลบุรีนี้ถูกดําเนินคดีคือ เรื่องของการจับกุมที่เป็นการจับนายเป้ คือมีการเรียกรับเงินตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบกับ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบกรามการทุจริตแห่งชาติ เเละ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565  มาตรา 7 คือมีการจับผู้ต้องหาได้ แต่ไม่นำส่งพนักงานสอบสวนในท้องที่ ส่วนนายบอย พัทยา และนายต้น พัทยา ถูกดําเนินคดีในฐานอื่นด้วย คือแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 145 เเละ พ.ร.บ.อุ้มหาย ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ไม่ถือว่าพลเรือนเป็นผู้สนับสนุน แต่ถือว่าเป็นตัวการร่วม

ส่วนผู้ต้องหาอีกชุด เป็นชุดของตํารวจไซเบอร์ เราพิจารณาดูแล้วเป็นความผิดตามมาตรา 157 คือการเข้าไปตรวจค้นจับกุมในบ้านของนายเป้ โดยที่ปล่อยให้พลเรือนเข้าไปร่วมในการตรวจค้น แต่มีตํารวจไซเบอร์ 2 นายที่โดนข้อหาดังกล่าว ไม่ได้ตามไปที่จังหวัดชลบุรีด้วย และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเรียกรับหรือยอมรับ จึงไม่โดนข้อหาตามมาตรา 149  เเละ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ

เมื่อถามต่อว่า ตำรวจถูกดำเนินคดีจำนวนมากขนาดนี้มีการวิ่งเต้นคดี หรือมีการข่มขู่ เเละกลัวการถูกปองร้ายหรือไม่ นายวัชรินทร์ กล่าวว่า ไม่มีทาง ตนไม่กลัวตาย และตํารวจก็คงเข้าใจว่านี่คือการทํางาน สมมุติว่ามาข่มขู่ชุดเรา เเล้วชุดเรากลัว ขอถอนตัว ก็ต้องมีชุดใหม่เข้ามาอยู่ดี ส่วนวิ่งเต้นก็คงไม่กล้ามาวิ่งเต้น เพราะผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีหลายข้อหาแล้ว ถ้าจะมาวิ่งเต้นอีกก็จะถูกดำเนินคดีเพิ่ม คดีนี้เราไม่กันใครเป็นพยาน

เมื่อถามว่า ผู้ต้องหา 3 คนที่เห็นสมควรสั่งไม่ฟ้อง เพราะเหตุใด รองโฆษกอัยการ ระบุว่า เหตุผลก็คือคนแรกซึ่งเป็นรองผู้การจังหวัดชลบุรี ไม่ได้ไปร่วมจับกุม แต่รับผิดชอบสำนวนตามที่อดีตผู้การมอบหมาย ส่วนคนที่สองถูกกล่าวหาเป็นร้อยตํารวจเอก เมื่อตรวจสอบแล้ว ไม่ได้ไปจุดที่มีการเรียกรับเงิน และคนที่ 3  เป็นการดำเนินคดีผิดตัว เนื่องจากไม่ได้อยู่ที่เกิดเหตุ

เมื่อถามว่า นายบอย พัทยา ให้สัมภาษณ์ว่าถูกดำเนินคดี เพราะว่ามีนายพลคนดังกลั่นแกล้ง ตรงนี้ได้ให้ถ้อยคำประเด็นนี้ในสำนวนหรือไม่ นายวัชรินทร์ กล่าวว่า ไม่มีเรื่องนายพลคนดัง นายพลคนดังกล่าวเป็นใครก็ไม่ทราบ มีแต่ร้องขอความเป็นธรรมว่าเขาไม่ได้ร่วมกระทําความผิด ซึ่งถ้าเขาโดนกลั่นเเกล้ง ตนยินดีที่จะเอาพยานหลักฐานว่าใครกลั่นแกล้งอะไรเข้าไปอยู่ในสํานวนด้วย

เมื่อถามว่า ที่บอกมั่นใจในหลักฐานหากสุดท้ายศาลยกฟ้องสามารถทำใจได้หรือไม่ นายวัชรินทร์ กล่าวว่า ทำใจได้ เพราะอัยการไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเอาคนเข้าคุก อัยการถูกสร้างมาให้ความเป็นธรรมกับคน อัยการไม่ได้เป็นอาชีพที่ไปเข้าข้างผู้ต้องหาหรือนำอันตรายไปให้ผู้ต้องหา อัยการจะดูตามพยานหลักฐานว่าถ้าพยานหลักฐานถึงใคร เราก็ดําเนินคดี แต่ท้ายสุดศาลจะยกฟ้องก็เป็นดุลพินิจของศาล ซึ่งเราทําใจได้ ถ้าเกิดว่ามีการยกฟ้องขึ้นมาอันนั้นเป็นเรื่องปกติ

ด้าน นายรชต พนมวัน อัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3  ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าของสำนวน กล่าวว่า ตนเชื่อมั่นชุดพนักงานสอบสวน เเละสํานักงานการสอบสวนของอัยการว่า ได้สอบสวนค่อนข้างจะครบถ้วน แต่ในส่วนของสำนักงานปราบทุจริตอัยการขออนุญาตพูดแทนท่านอธิบดีฯ ว่า เราก็ต้องมาพิจารณาเริ่มกันใหม่ ให้ความเป็นธรรม เพราะว่าบางทีผู้ต้องหาหรือผู้กล่าวหาอาจจะมีข้อมูลอะไรที่ยังซ่อนอยู่ และถูกพิจารณาครบถ้วนหรือไม่ อันนี้เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องดู ไม่ต้องห่วง สํานักงานเราเป็นมืออาชีพเพียงพอที่จะดําเนินคดีด้วยความเป็นธรรม ผลคดีเป็นยังไงเราจะมีคําอธิบายทั้งหมด ส่วนเรื่องขอความเป็นธรรม เราเปิดโอกาสให้ร้องขอความเป็นธรรมตามระเบียบอยู่แล้ว ส่วนเรื่องความหนักใจที่ทำคดีมีตำรวจจำนวนมากเป็นผู้ต้องหา เราไม่หนักใจ สำนักงานเรารับคดีตํารวจเป็นผู้ต้องหาเป็นหลักอยู่แล้ว อย่างคดี ผกก.โจ้ ตนก็ทำมาเเล้ว

ทางด้าน นายวีระ หรือ บอย หนึ่งในผู้ต้องหาในคดีนี้ เปิดเผยว่า ในคดีของตนมองว่าข้อกฎหมายของประเทศไทยเป็นการกล่าวหาไว้ก่อนแล้วค่อยมาต่อสู้หรือชี้แจงด้วยข้อเท็จจริง ซึ่งตนส่งเอกสารและพยานหลักฐานไปหมดแล้ว หลังจากนี้ให้เป็นเรื่องของกฎหมาย พร้อมระบุว่าความจริงก็คือความจริง ส่วนวันนี้ดีใจที่คนไม่เกี่ยวข้องรอดหมดแล้ว ที่ผ่านมาคนกลุ่มนั้นถูกกลั่นแกล้ง ถูกจับใส่กุญแจมือเข้าห้องขัง ยึดของกลางรวมถึงโทรศัพท์ ถือว่าเป็นวิธีการที่โหดร้าย เพราะพวกเขาไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย และตอนนี้ของกลางก็ยังไม่ได้คืน ซึ่งตำรวจอ้างว่าหายและไม่มีใครติดตามหรือช่วยเหลือคดี

พร้อมยืนยันว่าตนไม่เคยมีพฤติกรรมเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่เคยแตะตัวนายเป้และไม่เคยกักขังหน่วงเหนี่ยว แต่ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วย เพราะตนเป็นสายลับคอยให้ข้อมูลกับตำรวจ ยอมรับว่ามีการไปชี้เป้าที่บ้านจริง แต่ไม่ได้เข้าไปร่วมจับกุมด้วย ซึ่งข้อมูลที่ให้กับตำรวจตนไม่รู้รายละเอียดเชิงลึก แต่มีการพูดต่อ ๆ กันมา ส่วนตำรวจจะไปสืบสวนวิธีการแบบใดนั้นตนไม่ทราบ ส่วนข้อกล่าวหาที่บอกว่าตนไปล็อบบี้คดี ปฏิเสธว่าไม่มี

ส่วนความสนิทสนมของตนกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ยอมรับว่าเคยดูแลนายพลระดับสูงที่เป็นคนดำเนินคดีกับตน เนื่องจากตนทำธุรกิจท่องเที่ยว จึงมีการอำนวยความสะดวกให้นายพลระดับสูงและพรรคพวก ระหว่างท่องเที่ยว แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ลูกน้องใคร และไม่เคยทำหน้าที่พ่อบ้านรับเคลียร์หรือเคลียร์หน้าเสื่อให้กับใคร

ดูเพิ่มเติมแสดงน้อยลง Bookmark