ดีป้า เปิดตัว d-station สาขาแรก จ.ระยอง หนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นสานฝันธุรกิจ
ต่อยอดการเป็นกลไกกระตุ้นให้เกิดการประยุกต์ใช้ดิจิทัล ยกระดับชุมชนในพื้นที่ยั่งยืน
“d-station จะเป็นผู้ช่วยให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษา ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านดิจิทัล และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์/บริการของเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพที่เหมาะสมกับบริบทของผู้ใช้งานแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการ SMEs ผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้าแม่ค้า หาบเร่ แผงลอย รวมถึงเกษตรกร ชุมชนในชนบท และวิสาหกิจชุมชน ซึ่งนอกจากจะช่วยส่งเสริมศักยภาพ Digi-preneur ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและธุรกิจท้องถิ่นแล้ว d-station ยังเป็นส่วนช่วยให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะระดับพื้นที่ด้วยเทคโนโลยี/บริการดิจิทัล นอกจากนี้ยังเป็นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้กับดิจิทัลสตาร์ทอัพและผู้ให้บริการดิจิทัลสัญชาติไทย อีกทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลแก่ผู้ใช้งานระดับท้องถิ่น เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต นำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศอีกทางหนึ่ง” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว
ทั้งนี้ ดีป้า ตั้งเป้าที่จะขยายจำนวน d-station ให้ครอบคลุมในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งในระยะเริ่มต้นตั้งเป้าดำเนินการใน 5 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ นครสวรรค์ ประจวบคีรีขันธ์ และระยองที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีพิธีเปิดสาขาอย่างเป็นทางการ โดยมีดร.ปรีสาร รักวาทิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า เป็นประธาน พร้อมด้วย นายอภิวัฒน์ ในฐานะผู้บริหารโครงการ d-station ในพื้นที่จังหวัดระยองพร้อมทีมงานร่วมในพิธีดังกล่าว
ทั้งนี้ ดีป้า ยังมีโครงการดี ๆ อย่าง CONNEXION ที่มุ่งยกระดับองค์ความรู้ พัฒนาชุดทักษะใหม่ด้านดิจิทัลแก่คนไทย โดยเฉพาะผู้ว่างงานและนักศึกษาจบใหม่ที่กำลังหางานให้มีความพร้อมต่อการประกอบอาชีพใหม่ในยุคดิจิทัล และมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทยอย่าง คอนเทนต์ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ หรือจะ ประกอบอาชีพอื่น ๆ ในสายอย่าง ออแกไนเซอร์ นักออกแบบ นักพากย์ นักเล่าเรื่อง เป็นต้น
และอีกหนึ่งโครงการกับ เปิดเมือง เปิดท่องเที่ยวไทยด้วยดิจิทัล กับการพัฒนา ThailandCONNEX เพื่อเป็น แพลตฟอร์มกลางที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางรูปแบบ Business to Business (B2B) ในลักษณะ Wholesales สำหรับ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้สามารถเข้าถึง นำเสนอสินค้าและบริการสู่ผู้ให้บริการท่องเที่ยว (Online Travel Agents : OTAs) ทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก อีกทั้งช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและ เพิ่มโอกาสการเข้าถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มต่างชาติ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งที่ผ่านมาโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย โดยมีผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาทิ กลุ่มธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร และธุรกิจบริการเช่ายานพาหนะเข้าร่วมแพลตฟอร์ม ThailandCONNEX กว่า 1 แสนราย มีสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวกว่า 2 แสนรายการ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท