ภารกิจค้นหากำลังพล 23 นาย จ.ประจวบคีรีขันธ์
เช้านี้ที่หมอชิต - เช้าวันนี้ เรือหลวงบางระจัน เตรียมออกจากท่าเรือประจวบ ไปปฎิบัติการสำรวจเรือหลวงสุโขทัยล่มอีกครั้ง หลังเมื่อวานนี้ส่งนักประดาน้ำลงไปสำรวจ แต่ยังได้ข้อมูลไม่ครบ
โดยช่วงค่ำวานนี้ เรือหลวงบางระจัน ได้กลับเข้ามาเทียบท่าที่ท่าเรือประจวบ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อพักกำลังพล และขนเสบียงที่จำเป็นขึ้นไปใช้บนเรือระหว่างทำภารกิจ หลังเมื่อช่วงเช้าวานนี้ (22 ธ.ค.) ได้นำกำลังพลออกไปยังจุดที่เรือหลวงสุโขทัยล่ม ใช้นักประดาน้ำ 4 นาย ลงไปสำรวจ ความลึกกว่า 50 เมตร 2 รอบ โดยพบว่าสภาพเรือหลวงสุโขทัยจมอยู่ในสภาพแนวราบปกติ ส่วนเครื่องมือพิเศษ ซีฟอกร์ ซึ่งเป็นเครื่องสแกนวัตถุใต้น้ำ วันนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ใช้งาน คาดว่าปฏิบัติการวันนี้ (23 ธ.ค.) เป็นวันที่สองจะมีการนำมาใช้งานอีกครั้ง ส่วนเรือหลวงสุโขทัยจะมีการกู้เมื่อใดนั้น ต้องมีหากการหาข้อมูลให้ครบถ้วน
ขณะที่เมื่อช่วงค่ำ ที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเรือหลวงสุโขทัย นายธนาวุธ ธนชัย นายท่าประจำท่าเรือของบริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด ชี้แจงกรณีที่โซเชียลและสื่อมวลชนบางสำนักนำเสนอข่าว ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าบริษัทไม่อนุมัติให้เรือหลวงสุโขทัยเข้าเทียบท่า ที่ท่าเรือของบริษัท
โดย นายธนาวุธ เปิดเผยว่า ได้รับการประสานจากต้นเรือหลวงสุโขทัย ตั้งแต่เช้าวันเกิดเหตุ ยืนยันได้ว่ายินดีที่จะให้เรือเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือของบริษัท
ซึ่งทางเรือได้มีการสื่อสารกับท่าเรือบริษัทด้วยข้อความแอปพลิเคชันไลน์ ขอให้ถ่ายภาพสภาพอากาศ คลื่นลมที่ท่าเรือเป็นอย่างไร ส่วนจะเข้าเทียบหรือไม่เป็นการตัดสินใจของเรือหลวงเอง ซึ่งทางเรือหลวงยืนยันที่จะเดินทางกลับสัตหีบ ไม่เข้าเทียบที่ท่าเรือของบริษัทแล้ว ย้ำว่าท่าเรือไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งกระแสข่าวที่ออกไปส่งผลให้ภาพลักษณ์ของบริษัทเสียหาย ยืนยันได้ว่าทางบริษัทกับกองทัพเรือทำงาน และมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาโดยตลอด
ต่อมาเวลา 21.00 น. พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลส่วนหน้า ที่มูลนิธิอำเภอบางสะพาน โดยพบว่าจนถึงขนาดนี้ยังไม่มีการพบศพเพิ่มเติมจากเดิมที่เคยส่งมาก่อนหน้านี้ และ 6 ศพ ซึ่งสามารถพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลได้ครบตามจำนวน
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลจากส่วนกลาง เดินทางกลับส่วนกลางในวันพรุ่งนี้ ตั้งแต่ช่วงบ่ายโมงเป็นต้นไป โดยหากมีการพบศพในช่วงเวลาก่อนบ่ายโมงให้มีการดำเนินการตรวจเอกลักษณ์บุคคลตามปกติ ส่วนที่พบหลังบ่ายโมงให้มีการตรวจสอบเบื้องต้นและส่งศพที่พบไปที่นิติเวชกรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะให้การสนับสนุนในเรื่องการตรวจเอกลักษณ์บุคคลจนกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจ แต่การระดมเจ้าหน้าที่มาไว้ที่จุดเดียวขณะนี้น่าจะไม่มีประโยชน์ น่าจะกลับไปตั้งหลักที่กรุงเทพมหานคร เนื่องจากขณะนี้เวลาล่วงเลยเข้าสู่วันที่ 5 แล้ว มติที่ประชุมเห็นตรงกันว่า กลุ่มคนที่ยังสูญหายอีก 23 คน น่าจะกระจัดกระจายในแต่ละพื้นที่ หากกระดุมมาไว้ที่จุดเดียวอาจจะเสียกำลังพลในการรอ
ส่วนวิธีการตรวจนั้น หากยังพบว่าศพที่พบลายนิ้วมืออย่างชัดเจน ก็สามารถตรวจสอบได้จากลายนิ้วมือ แต่หากเปื่อยยุ้ยไม่สามารถตรวจสอบได้ก็จะต้องตรวจสอบผ่านดีเอ็นเอ ซึ่งล่าสุดได้ขอให้ทางญาติผู้สูญหายอีก 23 คน เข้ามาตรวจเก็บดีเอ็นเอ และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับญาติผู้สูญหาย จากนี้ไปขอให้ทุกคนกลับไปตรวจเก็บดีเอ็นเอได้ที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐานตามภูมิลำเนาเดิม