เพลิงไหม้อาคารพาณิชย์ย่านสำเพ็ง บาดเจ็บ 11 คน เสียชีวิต 2 คน
เช้านี้ที่หมอชิต - เกิดเหตุเพลิงไหม้ อาคารพาณิชย์ ย่านตลาดสำเพ็ง เบื้องต้น สันนิฐานว่า สาเหตุเกิดจาก หม้อแปลงไฟฟ้า ที่อยู่ด้านหน้าอาคารพาณิชย์ เกิดระเบิดขึ้น ก่อนจะลุกลามไปยัง อาคารข้างเคียง เสียหาย รวม 5 คูหา มีผู้บาดเจ็บ 11 คน เสียชีวิต 2 คน
พันตำรวจโทพลวรรษ พรหมศร สารวัตรสอบสวน สน.จักรวรรดิ รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ บริเวณบริษัท ราชวงศ์รุ่งเรือง จำกัด เลขที่ 157 ถนนราชวงศ์ แขวงจักรวรรดิ เขตสัมพันธวงศ์ จึงประสานรถดับเพลิงของอาสาสมัครบรรเทาสาธารณภัยแห่งประเทศไทย 20 คัน ไปยังที่เกิดเหตุ พบเป็นอาคารพาณิย์ สูง 4 ชั้น ประกอบกิจการขายกระเป๋าผ้า ถุงพลาสติก ถุงกระดาษ กล่องใส่สินค้าสำเร็จรูป ตั้งอยู่ริมถนนใจกลางย่านธุรกิจ ค้าส่งและค้าปลีกสำเพ็ง
เจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัย อาสาสมัครกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู และมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ระดมรถน้ำ และรถดับเพลิงรุดเข้าระงับเหตุ โดยใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง จึงสามารถควบคุมเพลิงส่วนใหญ่ไว้ได้ แต่ยังมีแสงเพลิงปะทุเป็นระยะ และมีเสียงแตกร้าวของอาคารเป็นระยะ ๆ
ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ได้ส่งนักผจญเพลิง เข้าไปควบคุมเพลิงภายในอาคาร และเร่งระบายกลุ่มควันที่พวยพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเวลาผ่านไปกว่า 2 ชั่วโมง จึงควบคุมเพลิงไว้ได้
จากการตรวจสอบ พบมีผู้บาดเจ็บ รวม 11 คน ส่วนใหญ่สำลักควัน นอกจากนี้ ยังพบผู้เสียชีวิตเป็นลูกจ้างของร้านใกล้ที่เกิดเหตุ 2 คน เสียชีวิตอยู่ที่บริเวณบันไดกับห้องน้ำ เป็นชายชาวเมียนมา 1 คน และหญิงชาวไทย อีก 1 คน และยังพบว่า อาคารเริ่มทรุดตัวลงมาบางส่วน รถยนต์ที่จอดอยู่หน้าอาคารพาณิชย์ ได้รับความเสียหาย รวม 4 คัน สำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ ได้ประกาศเป็นพื้นที่อันตราย ห้ามบุคคลไม่เกี่ยวข้องเข้าไป
ทีมข่าวยังพบคลิปภาพที่มีพลเมืองดีถ่ายเอาไว้ เป็นภาพก่อนที่หม้อแปลงจะระเบิด ความยาวประมาณ 40 วินาที โดยพบว่า มีกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาที่หน้าร้านด้านล่าง ขณะที่ ยังมีพ่อค้า แม่ค้า กางร่มขายของกันอยู่
เจ้าของร้านที่ถูกเพลิงไหม้ บอกว่า หม้อแปลงลูกนี้เคยเกิดเหตุระเบิดมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว โดยได้แจ้งให้ การไฟฟ้านครหลวง รับทราบ และได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ แต่ก็ไม่เห็นทำอะไร จนเกิดระเบิดขึ้นอีกในครั้งนี้
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เดินทางลงพื้นที่ ตรวจสอบเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว โดยตั้งข้อสันนิฐานว่า สาเหตุเกิดจาก หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิด และสายไฟฟ้าอยู่ในสภาพเก่า ซึ่งเป็นปัญหาที่ กรุงเทพมหานคร กำลังเร่งแก้ไขอยู่
พร้อมกันนี้ ยังเน้นย้ำมาตรการด้านความปลอดภัย คือ เรื่อง "ทางหนีไฟ" โดยเฉพาะห้องแถวที่มีลูกกรง ติดเหล็กดัด ที่ต้องได้รับการปรับปรุง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้อยู่อาศัยด้วย
ส่วนอาคารสูง ต้องมีระบบดับเพลิง สปริงเกอร์ และขอให้ทุกคนให้ความสำคัญกับการซ้อมหนีไฟ รับมือเหตุฉุกเฉิน เพราะเมื่อเกิดเหตุจะได้รู้ทางหนีทีไล่ รู้ว่าทางออกทางหนีไฟ อยู่ตรงไหน
ทั้งนี้ มีรายงานสรุปข้อมูลเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ จาก ศูนย์วิทยุพระราม 199 ว่า เหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว ลุกลามสร้างความเสียหายแก่ อาคารพาณิชย์ที่ปลูกอยู่ติดกัน รวม 5 คูหา รวมพื้นที่ความเสียหาย 720 ตารางเมตร หลังใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงในการควบคุมเพลิง พบผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 2 คน เป็นพนักงานหญิง ที่ทำหน้าที่เก็บเงินร้านค้าที่ได้รับความเสียหาย และลูกจ้างชายชาวเมียนมา ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ มีทั้งสิ้น 11 คน ส่วนใหญ่มีอาการสำลักควันไฟ มีเพียง 1 ราย เท่านั้นที่ถูกเศษกระเบื้อง ส่วนสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ สันนิษฐานเบื้องต้นว่า เกิดไฟฟ้าลัดวงจรที่หม้อแปลงไฟฟ้า ก่อนเกิดการระเบิดและเกิดเปลวเพลิงลุกลามดังกล่าว
ส่วนความคืบหน้าทางคดี พันตำรวจเอกกฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า ยังไม่ตัดประเด็นการเกิดเพลิงไหม้ทิ้ง แม้จะมีผู้บันทึกภาพหลักฐานกลุ่มควันที่ลอยออกมาบริเวณหม้อแปลงไฟฟ้า หน้าอาคารพาณิชย์ ก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นได้ก็ตาม
ส่วนความคืบหน้าทางคดี พนักงานสอบสวน สน.จักรวรรดิ ได้สอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องและพยานแวดล้อมไปแล้ว 11 ปาก และในวันนี้จะลงพื้นที่พร้อมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง
ด้าน นายพิพัฒน์ ชลอำไพ รองผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง เปิดเผยว่า ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่มีการสันนิษฐาน เรื่องหม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดแล้ว แต่ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่แน่ชัดได้ เนื่องจากหม้อแปลงไฟฟ้าวงจรตาข่าย ที่เป็นแบบเดียวกับในที่เกิดเหตุ จะมีระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรอยู่แล้วภายในตัว
ซึ่งจากการตรวจสอบระบบย้อนหลัง พบว่ามีการแสดงผลการทำงานของระบบป้องกัน แต่ยังไม่ชัดเจนว่าระบบดังกล่าว ได้ทำงานอย่างสมบูรณ์หรือไม่ ซึ่งจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดอีกที ส่วนการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ จะเร่งดำเนินการตามมาตรการฉุกเฉินที่การไฟฟ้านครหลวงกำหนดไว้ และหลังจากนี้จะร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงต่อไป