คอลัมน์หมายเลข 7 : ข้อครหา สภาฯ ผลาญงบซื้อเครื่องแบบตำรวจท่ามกลางวิกฤต
ข่าวภาคค่ำ - คอลัมน์หมายเลข 7 วันนี้ พาไปสอดส่องโครงการจัดหาเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภา ปี 2565 ที่ในช่วงท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการตั้งคำถามเรื่องความเหมาะสมและความจำเป็นหรือไม่ ติดตามกับคุณสุธาทิพย์ ผาสุข
คำถามถึงความเหมาะสม และความจำเป็น ที่ต้องเปลี่ยนชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจเงินเฟ้อ ประชาชน ต้องรับมือกับปัญหาสินค้า ที่ยกขบวนพาเหรดปรับราคาขึ้น แต่รายได้ยังคงอยู่ที่เดิม
ถูกสะท้อนออกมาภายหลังจากที่มีประกาศประธานรัฐสภา ว่าด้วยเรื่องเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภา พ.ศ.2565 โดยกำหนดให้ดำเนินการจัดหาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธันวาคม ลงนามโดย นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 12 มิถุนายน
ประกาศที่ออกมาสวนกระแส ยังทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการรีบเร่งหาโครงการ เพียงเพื่อต้องการเบิกใช้เงินงบประมาณแผ่นดินในช่วงสิ้นปีหรือไม่ เนื่องจากชุดปัจจุบันก็เพิ่งจะมีการเบิกใช้งานไปเพียง 6 เดือน เท่านั้น
คาดกันว่าราคาชุดเครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภา 1 ชุด รวมอุปกรณ์ประกอบเครื่องแบบ จะตกชุดละประมาณ 5,000 บาท หากแจกจ่ายให้คนละ 2 ชุด จำนวน 200 คน เมื่อนำมาบวกกัน เท่ากับว่าเบื้องต้นอาจต้องใช้เงินงบประมาณไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาทหรือไม่
คอลัมน์หมายเลข 7 ค้นหาข้อมูลข่าวจัดซื้อจัดจ้างในเว็บไซต์รัฐสภา พบในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ออกประกาศผู้ชนะการประกวดราคา จ้างตัดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาทุกปี เป็นการจัดซื้อในรูปแบบวิธีเฉพาะเจาะจง และวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-bidding ในช่วง 3 ปีให้หลัง มี 1 บริษัท ที่ปรากฏรายชื่อได้รับการคัดเลือกต่อเนื่อง
เจ้าของบริษัทที่ได้งาน ให้ข้อมูลบอกว่า ได้รับจ้างตัดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาจริง ซึ่งมีทั้งที่ได้งานบ้าง และไม่ได้งานบ้าง ส่วนราคาต่อชุดจะแตกต่างกันไปตามต้นทุน รูปแบบ ขนาด รวมถึงเครื่องประดับที่เป็นเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่าง ๆ
วิกฤตเศรษฐกิจที่ลากยาวนานเป็นปี ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่งผลต่อการใช้ชีวิตของประชาชน และภาคธุรกิจ เมื่อการกู้เงินนำมาช่วยเหลือบรรเทาความรุนแรงของผลกระทบ หรือตั้งงบประมาณขาดดุลในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้หนี้สาธารณะของไทยต้องเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ ราว 10 ล้านล้านบาท ทะลุ 60% ของจีดีพีไปแล้ว ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ การใช้งบประมาณให้คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ จึงเป็นหน้าที่ของข้าราชการและนักการเมืองที่ต้องให้ความสำคัญ อย่าให้ถูกครหาได้ว่า ประชาชนลำบาก แต่ยังมีการถลุงงบประมาณหรือไม่